
เกียวโต อดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่น เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ดอกเบญจมาศ ก่อนจะถูกรัฐบาลทหารยึดอำนาจไป จนเมืองหลวงเก่าแทบจะหมดบทบาทไปจากหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

พระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของราชวงศ์ดอกเบญจมาศมากว่า 600 ปี ปัจจุบันยังคงทำหน้าที่ประกอบพิธีของราชวงศ์อย่างสมบูรณ์

แรกเริ่มเดิมทีนั้นวังหลวงแห่งแรกถูกสร้างไปทางกึ่งกลางเมืองด้านทิศเหนือ ไอเดียนี้ยึดเอาต้นแบบนครฉางอานหรือเมืองซีอานของจีนมาใช้ พร้อมๆกับงานสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังที่ถูกใช้ออกแบบอาคารต่างๆภายในวัง แต่ด้วยความเป็นไม้ พอใช้งานไปเกือบสี่ร้อยปีก็เจอไฟไหม้บ้าง ภัยธรรมชาติบ้าง บ่อยๆเข้า งบประมาณซ่อมบำรุงคงมาโข การย้ายมาสร้างในพื้นที่ใหม่น่าจะเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากกว่า พระราชวังเกียวโตอิมพีเรียลจึงถูกสร้างใหม่บนพื้นที่ปัจจุบันในขนาดที่ย่อมกว่า

แม้พระราชวังแห่งนี้จะเป็นที่ประทับของจักรพรรดิมาเกือบ 600 ปี กลับเป็นพระราชวังที่ไร้บทบาทและอำนาจทางการเมืองมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะอำนาจการปกครองญี่ปุ่นไปตกอยู่กับทหารอย่างเบ็ดเสร็จตั้งแต่ปี พ.ศ.1735 เมื่อตระกูลนักรบอย่างมินาโมโตะประกาศตั้ง บาคุฟุ หรือรัฐบาลทหารที่เมืองคามากุระ ปล่อยให้พระจักรพรรดิประทับในวังโดยไร้บทบาทหลายร้อยปี ส่วนรัฐบาลทหารแต่ละตระกูลก็แย่งอำนาจขึ้นมาตั้งตัวเป็นใหญ่กัน พระราชวังแห่งนี้จึงทำหน้าที่เป็นเพียงที่ประทับของพระจักรพรรดิ และใช้ประกอบพระราชพิธีของราชวงศ์ดอกเบญจมาศเพียงเท่านั้น

อาคารที่สำคัญที่สุดซึ่งทุกคนจะมองเห็นเมื่อผ่านซุ้มประตูสีแดงเพลิงเข้ามา คือ Shishinden หรืออาจเรียกแบบไทยๆว่าพระที่นั่ง ปัจจุบันยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นอยู่ โดยครั้งล่าสุดถูกจัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา เมื่อจักรพรรดิอะกิฮิโตะทรงสละราชสมบัติให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อเป็นจักรพรรดินารูฮิโตะ ด้านในท้องพระโรงเป็นที่ตั้งของพระราชบัลลังก์ที่ใช้ในการประกอบพระราชพิธีขึ้นครองราชย์
ต้นไม้สองต้นนั้นสื่อถึงความเป็นนิจนิรันดร์และความเปลี่ยนแปลง
ความน่าสนใจของอาคารหลังนี้คือด้านหน้ามีการปลูกต้นส้มแมนดารินทาจิบานะทิศตะวันตก และต้นเชอรี่ทางทิศตะวันออก ในหนังสือ Art and Palace Politics in Early Modern Japan, 1580s-1680s กล่าวว่าต้นไม้สองต้นนั้นสื่อถึงความเป็นนิจนิรันดร์และความเปลี่ยนแปลง ซึ่งความเป็นนิจนิรันดร์นั้นคือความเป็นพระจักรพรรดิ ส่วนความเปลี่ยนแปลงนั้นคือผู้สำเร็จราชการและข้าราชสำนักที่อยู่เคียงข้างพระองค์

ในพื้นที่เดียวกัน แต่ถูกแบ่งเขตด้วยแนวกำแพงออกจากกัน คือพระราชวังเซนโตเป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิที่สละราชสมบัติ ภายในยังมีวังอีกส่วนที่ใช้เป็นที่ประทับอดีตพระจักรพรรดินีในบั้นปลายพระชนม์ชีพ
ในปี พ.ศ. 2410 รัฐบาลทหารหมดอำนาจลง จักรพรรดิเมจิได้เสด็จออกจากพระราชวังแห่งนี้ไปประทับยังปราสาทของโชกุนที่กรุงเอโดะแทนเป็นการถาวร นครเฮอังเคียวหรือเกียวโตจึงโบกมืออำลาหน้าที่การเป็นเมืองหลวงของของญี่ปุ่นมากว่าพันปี ส่วนกรุงเอโดะก็ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรุงโตเกียว ที่แปลว่าเมืองหลวงตะวันออกแทน